อย่าเสี่ยงปัญหาสุขภาพนานาชนิด ด้วยการดื่มน้ำจากตู้กดน้ำสาธารณะ

จากรายงานขององค์การอนามัยโลกกล่าวไว้ว่า แต่ละปีมีประชากรทั่วโลกป่วยจากโรคอุจจาระร่วงที่เกิดจากเชื้อโรคปนเปื้อนในน้ำดื่มประมาณ 1,700 ล้านราย ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ปีละ 760,000 ราย ถือเป็นอันดับ 2 รองจากโรคปอดบวมอีกด้วย ส่วนข้อมูลของสำนักระบาดวิทยาของประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วย 253,967 ราย และพบว่าจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 โดยผู้ป่วยเกือบครึ่งเป็นเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ดังนั้นนอกจากจะต้องดื่มน้ำให้ตรงตามความต้องการของร่างกายแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการเลือกดื่มน้ำสะอาด เพราะถ้าคุณดื่มน้ำไม่สะอาดขึ้นมา อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายในระยะยาวได้ด้วย วันนี้เราจะมาพูดถึงข้อเสียและวิธีแก้ปัญหาจากน้ำดื่มไม่สะอาดกันค่ะ

ปัจจัยที่ทำให้ตู้กดน้ำสาธารณะไม่สะอาด

1. แหล่งน้ำดิบไม่สะอาด

แม้ว่าน้ำที่เราใช้ดื่มกินกันส่วนใหญ่จะมาจากน้ำประปาที่ผ่านกระบวนการกรองน้ำจากหน่วยงานรัฐ แต่เนื่องจากน้ำประปาที่ถูกแจกจ่ายไปตามครัวเรือนนั้นใช้ระบบแรงดันต่ำ จึงมีโอกาสที่จะมีสิ่งสกปรกปนเปื้อนเข้ามายังน้ำประปาที่เป็นแหล่งน้ำดิบของตู้กดน้ำสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นทั้งอะมีบา (Amoeba), ตัวร้อยขา (Sand Worm), หนอนแดง (Blood Worm) และยิ่งถ้าคุณไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่น้ำประปาเข้าถึง และจำเป็นต้องกรองน้ำจากแหล่งน้ำดิบอื่น เช่น น้ำบาดาล, น้ำกร่อย ฯลฯ ให้คิดไว้ก่อนว่าเจอสิ่งปนเปื้อนแน่นอน

2.กรองน้ำเอง

หากคุณคิดว่าน้ำดื่มที่ไหนก็เหมือนกัน สู้เอาน้ำจากน้ำประปามาต้มดื่มหรือกรองน้ำจากแหล่งน้ำดิบโดยตรงจะดีกว่า เราขอบอกให้คุณหยุดความคิดนั้นโดยด่วนเนื่องจากการกรองน้ำเองอันตรายต่อร่างกายมากกว่าที่คุณคิดนะคะ โดยแบ่งความเสี่ยงที่จะเกิดจากการกรองน้ำเองเป็น 3 อย่าง ได้แก่

2.1 เสี่ยงต่อสารอันตรายจากการต้มน้ำ

หลายคนอาจรู้มาแค่ว่าการกรองน้ำดื่มนั้นเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ใครก็สามารถทำได้ เพียงแค่เอาน้ำมาต้มให้เดือด ก็สามารถนำน้ำที่ได้มาดื่มได้ทันที แม้ว่าการต้มน้ำด้วยอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส จะสามารถฆ่าจุลินทรีย์ได้ก็จริง แต่ในความเป็นจริงอาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา เนื่องจากน้ำที่ถูกต้มจะทำให้สารไนเตรทและฟลูออไรด์เข้มข้นสูงขึ้น หากร่างกายสะสมไนเตรทมากเกินไป อาจมีผลต่อภาวะเมธฮีโมโกลบินในเลือดและโรคมะเร็งบางชนิด นอกจากนี้ยังมีสิ่งตกค้างที่ไม่สามารถกำจัดได้ด้วยน้ำต้มเดือด เช่น โลหะหนัก (อะลูมิเนียม ตะกั่ว ปรอท สารหนู ฯลฯ) สารแขวนลอย รวมถึงเกลือที่แม้ว่าจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่หากเราดื่มน้ำที่มีเกลือจำนวนมาก ทำให้ร่างกายสะสมเกลือมากเกินไปจนไตต้องทำงานหนักเพื่อขับเกลือออกอีกด้วย หรือในกรณีที่คุณต้มน้ำซ้ำ ๆ อาจเสี่ยงต่อสารเคมีอันตรายเข้มข้นในน้ำ โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์และผู้ที่มีปัญหาสุขภาพบางชนิด

2.2 เสี่ยงต่อสิ่งปนเปื้อนหลังจากกรองน้ำ

แม้ว่าน้าจากแหล่งน้ำดิบจะผ่านการกรองมาเป็นอย่างดี แต่ก็ขึ้นอยู่กับกระบวนการเก็บรักษาน้ำด้วยนะคะ หากคุณกรองน้ำในพื้นที่ที่มีฝุ่นเยอะ อาจเสี่ยงที่มลพิษจากอากาศจะตกลงไปในน้ำที่เพิ่งกรองเสร็จ หรือหากคุณเก็บน้ำที่กรองเสร็จไว้ในพื้นที่อับชื้นภายในบ้าน อาจมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ติดมากับน้ำหรือบรรจุภัณฑ์ที่ใช้เก็บน้ำได้อีกด้วยค่ะ ซึ่งสิ่งปนเปื้อนเหล่านี้อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาในระยะยาวอีกด้วย

2.3 เสี่ยงต่อสิ่งสกปรกที่ใช้ในการกรอง

สำหรับใครก็ตามที่ใช้วิธีกรองแบบธรรมชาติ โดยนำถ่าน ทราย ก้อนกรวดละเอียด และสำลี เทใส่ลงไปในขวดน้ำใหญ่แบบใส เพื่อนำน้ำที่ได้มาดื่มกิน แม้จะเป็นวิธีโบราณแต่ยังมีใครอีกหลายคนที่สนใจทำตามวิธีนี้อยู่พอสมควร ขอบอกตรงนี้เลยนะคะว่าอย่าทำเด็ดขาด เนื่องจากเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าถ่าน ทราย และก้อนกรวดมีความสะอาดมากน้อยแค่ไหน ต่อให้กรองผ่านสำลีแล้วก็ตามแต่ไม่ได้หมายความว่าจะสะอาด 100% เพราะในหินหรือก้อนกรวดอาจมีเชื้อราสะสมอยู่ก็ได้

3. วิธีการเก็บรักษาน้ำที่ไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพ

แม้ว่าจะกรองน้ำจากน้ำประปาด้วยเครื่องกรองมาตรฐานสูงก็ตาม แต่หากคุณติดตั้งเครื่องกรองในพื้นที่ที่อับชื้นและไม่ค่อยได้ทำความสะอาดเครื่องกรองตามระยะเวลา อาจเสี่ยงเกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียจากสภาพแวดล้อมภายนอกได้ด้วยเช่นกัน

แล้วสารปนเปื้อนที่พบได้ในตู้กดน้ำสาธารณะมีอะไรบ้าง

  • เหล็ก หากร่างกายได้รับเหล็กในปริมาณมาก ส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่และย่อยอาหารยากขึ้น รู้สึกเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ตามมาด้วยน้ำหนักลดลงแบบไม่ทราบสาเหตุ, รู้สึกปวดบริเวณข้อต่อ, หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาวะเหล็กเกิน (Hemochromatosis)
  • ปรอท เมื่อร่างกายสะสมปรอทปริมาณมากเกินไป อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อปอดหรือปอดถูกทำลาย, ระคายเคืองดวงตา มีปัญหาเรื่องการมองเห็น หากปล่อยไว้อาจถึงขั้นสมองและไตถูกทำลาย หรือแม้แต่เกิดภาวะอะนอเร็กเซีย (Anorexia) ส่งผลให้ร่างกายผอมแห้ง, กระดูกเปราะแต่แขนขาบวม, หัวใจเต้นผิดจังหวะและเต้นช้าผิดปกติอีกด้วย
  • ทองแดง หากร่างกายสะสมทองแดงมากกว่า 100 มิลลิกรัม ส่งผลให้อ่อนเพลีย, เบื่ออาหาร, คลื่นไส้อาเจียน
  • แมงกานีส หากร่างกายสะสมแมงกานีสมากเกินไป ส่งผลให้ปวดศีรษะ, อ่อนล้า, เยื่อบุทางเดินอาหารอักเสบ หากรุนแรงมากอาจทำลายระบบประสาทและเสี่ยงต่อการเป็นอัมพาตได้อีกด้วย
  • เชื้ออีโคไล เป็นเชื้อโรคประเภทหนึ่งที่ก่อให้เกิดอาการป่วย โดยเริ่มจากปวดท้อง, ท้องเสีย, คลื่นไส้อาเจียน, อ่อนเพลีย
  • เชื้อโคลิฟอร์ม เป็นเชื้อโรคที่อยู่ในลำไส้ในปริมาณมากเกินไป ส่งผลให้มีอาการป่วยคล้ายโรคไข้หวัดใหญ่ ทั้งมีไข้, ปวดท้อง, ท้องเสีย

อันตรายจากน้ำดื่มไม่สะอาด

1. อหิวาตกโรค (Cholera)

เกิดจากเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายโดยการดื่มน้ำไม่สะอาด ทำให้แบคทีเรียเข้าไปอยู่ในลำไส้และสร้างพิษออกมาทำปฏิกิริยากับเยื่อบุผนังลำไส้เล็ก เป็นสาเหตุของอาการท้องเดินอย่างรุนแรง จนอุจจาระเป็นสีน้ำซาวข้าวและถ่ายวันละหลาย ๆ ครั้ง ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่อย่างรวดเร็ว  หากอาการรุนแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยอาการจะเกิดขึ้นตั้งแต่ 24 ชั่วโมง ไปจนถึง 5 วัน

ทั้งนี้หากอาการไม่รุนแรง มักจะหายภายใน 1-5 วัน แต่หากอาการรุนแรง อาจมีท้องเดินและมีเนื้ออุจจาระมาก มีกลิ่นเหม็นคาว บางครั้งไหลพุ่งออกมาโดยไม่รู้สึกตัว มีอาเจียนโดยไม่คลื่นไส้ หากอาการดังกล่าวไม่หายไปเองภายใน 1 – 6 วัน จะทำให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะขาดน้ำอย่างมาก, ลุกนั่งไม่ไหว, ปัสสาวะน้อย, หน้ามืด, เป็นลม หากรุนแรงอาจถึงขั้นช็อกและเป็นอันตรายถึงชีวิต

2. โรคบิด (Dysentery)

เป็นอาการท้องเสียอย่างรุนแรงที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชิเกลลา (Shigella) และอะมีบา (E. histolytica) โดยอาการที่พบได้แก่ ท้องเสีย และถ่ายอุจจาระบ่อย แม้ว่าช่วงแรกที่ได้รับเชื้อจะไม่แสดงอาการใด ๆ แต่ภายหลังจะเริ่มท้องเสียติดต่อกันมากกว่า 3 ครั้งและอุจจาระเป็นน้ำ อาจมีมูกหรือมูกเลือดปนออกมากับอุจจาระและอาการปวดเกร็ง หรือปวดแบบบีบ ๆ บริเวณท้องเป็นพัก ๆ หรืออาจปวดหน่วงบริเวณทวารหนัก นอกจากนี้ยังมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และมีไข้ขึ้นสูงมากตามมาด้วย

3. ไข้ไทฟอยด์ (Typhoid)

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Salmonella Typhi ผ่านน้ำที่ปนเปื้อนและอาหาร หรือแม้กระทั่งสัมผัสกับผู้ที่มีเชื้อนี้ โดยมีอาการที่สังเกตได้คือไข้ต่ำและเพิ่มสูงขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะช่วงกลางคืน ผู้ป่วยอาจมีไข้สูงได้มากถึง 40.5 องศาเซลเซียส รวมถึงอาการปวดศีรษะ ไอแห้ง เบื่ออาหารและน้ำหนักตัวลดลง รู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกาย อ่อนเพลีย มีเหงื่อออกหรือผื่นขึ้นบริเวณหน้าท้องหรือหน้าอก ปวดท้อง ท้องบวม และท้องเสีย

4. โรคตับอักเสบเอ (Hepatitis)

เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม Picornavirus ทำให้ตับอักเสบเฉียบพลัน โดยมีอาการที่สังเกตได้คือเป็นไข้, รู้สึกอ่อนเพลีย, เบื่ออาหาร, คลื่นไส้อาเจียน, ท้องร่วง, ปัสสาวะสีน้ำตาลเข้ม, รู้สึกแน่นบริเวณใต้ชายโครงขวา รวมถึงตัวและตาเหลือง (ดีซ่าน) ตามมา

5. ภาวะขาดน้ำ (Dehydration)

เป็นภาวะที่ร่างกายสูญเสียน้ำมากกว่าน้ำที่ได้รับ จึงมีน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ทำให้ระบบไหลเวียนของเหลวและการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะสมอง, หัวใจ, ไต และทางเดินอาหารทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้รู้สึกกระหายน้ำมากกว่าปกติ, ตาและปากแห้ง, ปัสสาวะน้อย, ท้องผูก, ปวดศีรษะ, คลื่นไส้ อาเจียน, อ่อนเพลีย หากอาการรุนแรงจะมีอาการหัวใจเต้นแรงและเร็ว, หายใจหอบถี่ หรืออาจถึงขั้นช็อกหมดสติจนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต

ทำไมต้องกรองน้ำด้วยเครื่องกรองน้ำคุณภาพสูง

  • กลั่นน้ำ เพียงแค่ต้มน้ำให้กลายเป็นไอ จากนั้นปล่อยให้ไอผ่านเข้าไปในท่อเย็น จนไอน้ำกลั่นตัวกลายเป็นหยดน้ำ ซึ่งวิธีนี้นิยมนำไปใช้ในวงการแพทย์หรืออุตสาหกรรมขนาดใหญ่
  • การตกตะกอน โดยแกว่งสารส้มและตั้งทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที เพื่อให้สิ่งสกปรกตกตะกอนลงไปอยู่ที่ก้นภาชนะ ทั้งนี้อาจมีเชื้อโรคหรือแร่ธาตุต่าง ๆ ปนอยู่ในน้ำ แนะนำให้กรองน้ำอีกรอบด้วยเครื่องกรองน้ำเพื่อความปลอดภัย
  • กรองน้ำโดยเครื่องกรองที่ได้มาตรฐาน แม้ว่าเครื่องกรองจะมีหลายระบบแต่หากคุณอยู่ในพื้นที่ที่ต้องใช้แหล่งน้ำดิบที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะน้ำบาดาลและน้ำกร่อย อาจต้องเลือกระบบกรองน้ำ RO ซึ่งเป็นระบบที่มีมาตรฐานการกรองสูง สามารถกรองสิ่งปนเปื้อนที่มีอนุภาคขนาดเล็กได้ทุกประเภท เนื่องจากมีไส้กรองเยื่อเมมเบรนที่มีความละเอียดมากถึง 0.0001 ไมครอน น้ำที่ได้จากเครื่องกรองชนิดนี้จึงมีเพียงน้ำบริสุทธิ์อย่างเดียวเท่านั้น
  • ต้มน้ำให้สุกก่อนดื่มอย่างน้อย 5 นาที กรณีที่คุณอยู่ในพื้นที่ที่ใช้น้ำจากแหล่งน้ำดิบที่ไม่ได้คุณภาพ แม้ว่าคุณจะกรองน้ำจากเครื่องกรองน้ำแล้วก็ตาม
  • ใช้สารเคมี โดยการเติมคลอรีนลงในน้ำ จากนั้นคนให้ละลายและลองดมกลิ่น หากได้กลิ่นคลอรีนเบาบางถือว่าน้ำได้คุณภาพ จากนั้นปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วค่อยเปิดฝาเพื่อให้คลอรีนระเหยก่อนนำไปใช้ หรืออาจละลายด่างทับทิมเข้ากับน้ำจนกลายเป็นสีชมพูอ่อนแล้วจึงนำน้ำไปใช้ หรืออาจหยดทิงเจอร์ไอโอดีนลงในน้ำประมาณ 5-6 หยดต่อน้ำ 1 ลิตร จากนั้นตั้งทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที แล้วค่อยนำไปใช้

ทำไมต้องเครื่องกรองน้ำด่าง จาก Live Healthy

สำหรับใครที่ต้องการดื่มน้ำสะอาดและกำลังมองหาเครื่องกรองน้ำดื่มที่มีระบบกรองน้ำดื่มคุณภาพดี การันตีด้วยรีวิวจากผู้ใช้มากมาย และบริการหลังการขายที่ดีเยี่ยม ทางเรา LIVE HEALTHY มีเครื่องกรองน้ำด่างจัดจำหน่ายหลากดีไซน์หลายประเภท ทั้งแบบตั้งโต๊ะและแบบตั้งพื้น เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าทุกท่าน เราเป็นผู้จัดจำหน่ายและให้บริการเครื่องกรองน้ำอัลคาไลน์ชั้นนำจากบริษัท KYK CO.,LTD ของเกาหลีมาอย่างยาวนานถึง 13 ปี ตัวเครื่องสามารถผลิตน้ำที่ให้ค่า pH ได้ถึง 9 ระดับ แถมยังมีอายุการใช้งานยาวนานมากกว่า 10 ปีขึ้นไป นอกจากการใช้งานที่คุ้มค่าแล้ว ทางเรายังมีบริการหลังการขายแบบ On Site Service โดยช่างผู้เชี่ยวชาญ พร้อมดูแลเครื่องกรองน้ำของท่านถึงที่บ้าน หากใครกังวลใจเรื่องไส้กรองตกรุ่น ทางเรามีไส้กรองพร้อมเปลี่ยนทันที สนใจสั่งซื้อหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมคลิกลิงก์นี้ได้เลยค่ะ

บทความที่น่าสนใจ

Shopping Cart