หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่มั่นใจในแหล่งน้ำที่คุณกำลังใช้อยู่ในปัจจุบัน และกำลังมองหาวิธีทำให้น้ำสะอาดเพื่อใช้ดื่มกินหรือใช้อุปโภคก็ตาม วันนี้เราจะมาแนะนำ 6 วิธีง่าย ๆ ที่ทำให้น้ำดื่มสะอาด เพื่อให้คุณปลอดภัยจากสารปนเปื้อนในน้ำที่ใช้อยู่ในระยะยาว ว่าแต่จะมีวิธีไหนบ้างมาดูกันเลยค่ะ
6 วิธีง่าย ๆ ที่ทำให้น้ำดื่มสะอาด
1. การต้มน้ำ
เป็นการนำน้ำใส่ลงภาชนะสำหรับต้มพร้อมกับตั้งไฟให้เดือดด้วยอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส โดยทั่วไปจะใช้เวลาเดือดประมาณ 5 นาที ถือเป็นวิธีที่ประหยัดและปลอดภัยที่สุด เนื่องจากเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ที่อาจปนเปื้อนมาจากแหล่งน้ำอย่างเชื้ออีโคไล (E. coli), เชื้อโคลิฟอร์ม (Coliform), เชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ และพยาธิไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในน้ำอุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียสขึ้นไป นอกจากนี้การต้มสุกยังช่วยระเหยคลอรีนที่มาจากแหล่งน้ำจนแทบไม่เหลืออยู่ในน้ำเลย ทั้งนี้แนะนำให้กรองน้ำจากเครื่องกรองก่อนต้มทุกครั้ง เนื่องจากสารตกค้างอย่างโลหะหนัก, สารตะกอนแขวนลอย และเกลือจะไม่ถูกกำจัดไปด้วยการต้มเดือดและยังคงตกค้างอยู่ในน้ำต้มเดือด
2. การกลั่นน้ำ
เป็นวิธีที่มีขั้นตอนการทำให้น้ำสะอาดมากกว่าวิธีอื่น ๆ แต่น้ำที่ได้จะเป็นน้ำบริสุทธิ์ โดยเริ่มจากต้มน้ำให้กลายเป็นไอก่อน จากนั้นปล่อยให้ไอไหลไปในท่อเย็น ทำให้ไอน้ำกลั่นตัวกลายเป็นหยดน้ำที่ถูกกำจัดแร่ธาตุทุกชนิดออกไป น้ำกลั่นแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ น้ำกลั่นที่มาจากแหล่งธรรมชาติ คือ น้ำฝน ซึ่งเป็นน้ำที่มาจากแหล่งน้ำธรรมชาติหลายแหล่งระเหยกลายเป็นไอและจับตัวเป็นก้อนเมฆ ก่อให้เกิดการควบแน่นจากไอกลายเป็นหยดน้ำในรูปของน้ำฝนหรือหิมะ ส่วนน้ำกลั่นที่มาจากการผลิตโดยมนุษย์ก็คือน้ำกลั่นจากเครื่องกลั่นน้ำ ซึ่งกระบวนการกลั่นด้วยเครื่องกลั่นจะทำให้คาร์บอเนตและไบคาร์บอเนตที่อยู่ในแหล่งน้ำดิบละลาย น้ำที่ได้จากกระบวนการดังกล่าวจึงมีฤทธิ์เป็นกรดและมีค่า pH (ความเป็นกรดด่าง) ต่ำกว่า 6 ถือเป็นน้ำบริสุทธิ์ที่ไม่มีแร่ธาตุใด ๆ จึงเหมาะสำหรับใช้เตรียมสารละลายต่าง ๆ เช่น ทำน้ำเกลือ, เติมแบตเตอรี่ ฯลฯ ทั้งนี้น้ำกลั่นที่ดื่มได้มีเพียงน้ำกลั่นจากฝนในพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลเมืองหลวงเท่านั้น เนื่องจากสะอาดและปลอดภัยมากกว่า และหากต้องการนำน้ำกลั่นมาดื่มก็ควรนำมาต้มฆ่าเชื้อและไล่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกอย่างน้อยประมาณ 15 นาที
3. การทำให้น้ำตกตะกอน
วิธีนี้อาจต้องใช้อุปกรณ์มากสักหน่อย ไม่ว่าจะเป็นถังน้ำ 2 ใบ, สารส้ม, เก้าอี้, ไฟฉาย (ส่องดูตะกอน), สายยางทำกาลักน้ำ, หนังยาง, สำลี,น้ำยาคลอรีนเหลว, กาต้มน้ำ และควรเลือกแหล่งน้ำที่สะอาดด้วย เริ่มจากเติมน้ำจากแหล่งน้ำที่หามาลงในถังน้ำใบที่ 1 จากนั้นแกว่งสารส้มเปล่า ๆ หรือนำผ้าขาวบางมัดสารส้มแล้วแกว่งทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาที จนพบก้อนตะกอน แล้วใช้สายยางทำกาลักน้ำเพื่อถ่ายน้ำใสจากถังใบที่ 1 ไปยังถังใบที่ 2 โดยปลายสายยางด้านที่น้ำไหลออกไปยังถังใบที่ 2 จะต้องใช้สำลีอุดและมัดด้วยหนังยางอีกที เพื่อให้คุณภาพการกรองดีขึ้น จากนั้นนำน้ำที่ใส่ลงในถังใบที่ 2 มาฆ่าเชื้อโรคด้วยการเติมน้ำยาคลอรีนเหลว 1 หยด หรือด่างทับทิมละลายน้ำ 3-5 หยด/น้ำใส 1 ลิตร แล้วกวนส่วนผสมดังกล่าวให้เข้ากันประมาณ 30 นาที จากนั้นจึงค่อยนำน้ำมาต้มให้เดือดเพื่อนำมาอุปโภคบริโภคอีกที
4. การใช้สารเคมี
เป็นอีกวิธีที่ใครหลายคนนิยมใช้กัน เนื่องจากสารเคมีบางชนิดจะช่วยกำจัดสิ่งปนเปื้อนที่มาจากแหล่งน้ำดิบ โดยสารเคมีที่ใช้ได้แก่
- ด่างทับทิม (Potassium permanganate) มีฤทธิ์กำจัดเชื้อโรคได้เพียงบางชนิดเท่านั้น แถมยังต้องใช้เวลานานเป็นชั่วโมงจนกว่าด่างทับทิมจะละลายเป็นสีชมพูอ่อน จากนั้นจึงนำน้ำที่ได้ไปต้มก่อนดื่มกิน
- ทิงเจอร์ไอโอดีน (Iodine Tincture) มีทั้งแบบเม็ดสำหรับฆ่าเชื้อ ขนาด 8 มิลลิกรัมและแบบน้ำให้หยดประมาณ 6-8 หยด/น้ำ 1 ลิตร จากนั้นตั้งทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีก่อนนำมาใช้
- ก๊าซคลอรีน (Chlorine) คลอรีนผง และคลอรีนน้ำ มีฤทธิ์กำจัดเชื้อโรคได้มากถึง 99% และเชื้อไวรัส เริ่มจากเติมคลอรีนลงไปในน้ำและคนจนกว่าจะละลาย หากได้กลิ่นเล็กน้อยแสดงว่าน้ำเหล่านั้นใช้ได้ จากนั้นปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วค่อยเปิดฝาเพื่อรอให้คลอรีนระเหยและนำไปใช้เป็นน้ำดื่มสะอาด
5. การเก็บน้ำจากแหล่งที่เหมาะสม
นอกจากน้ำจากแหล่งน้ำดิบอย่างน้ำประปาและน้ำกร่อยแล้ว ยังมีแหล่งน้ำดิบที่มีความสะอาดระดับหนึ่งที่เป็นทางเลือกของใครหลายคนก็คือน้ำจากบ่อน้ำบาดาลลึกนั่นเอง โดยน้ำบาดาลเป็นบ่อน้ำลึกที่มีปริมาณน้ำสะสมอยู่มาก อีกทั้งคุณภาพของน้ำก็อยู่ในเกณฑ์ที่สะอาดกว่าแหล่งน้ำอื่นด้วย นอกจากนี้การกักเก็บน้ำฝนด้วยถังเก็บน้ำฝนนั้นจะช่วยให้เรานำน้ำฝนที่มีความสะอาดมาใช้ดื่มกินได้อีกด้วย แต่หากเป็นน้ำฝนจากพื้นที่ที่อยู่ในตัวเมืองซึ่งมีมลพิษปนเปื้อนสูงก็ไม่ควรนำมาใช้ หรือหากต้องการนำมาใช้จะต้องกรองด้วยเครื่องกรองน้ำระบบ RO ก่อนเสมอ เพื่อไม่ให้มีสิ่งปนเปื้อนปนอยู่ในน้ำ
6. การกรองน้ำดื่มสะอาดโดยเครื่องกรอง RO
เป็นเครื่องกรองน้ำที่ใช้เยื่อเมมเบรนสำหรับกรองน้ำแบบออสโมซิสย้อนกลับผ่าน โดยเยื่อเมมเบรนทำจากใยสังเคราะห์เซลลูโลสที่มีความละเอียดถึง 0.0001 ไมครอน ทำให้สารละลายที่ปนเปื้อนมาจากน้ำซึ่งมีขนาดเล็กถึง 0.0002 ไมครอน ไม่ว่าจะเป็นโลหะหนัก, สารเคมี, ไวรัสและแบคทีเรียต่าง ๆ ไม่สามารถเล็ดลอดผ่านเยื่อกรองได้ และถูกกำจัดออกจากระบบทันที คงเหลือไว้เพียงน้ำบริสุทธิ์เท่านั้น ด้วยคุณสมบัติดังกล่าวทำให้ระบบ RO ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมทั้งกรองน้ำดื่มบรรจุขวด, กรองน้ำจืด, นำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ ฯลฯ เครื่องกรอง RO มีกระบวนการกรองทั้งหมด 5 ขั้นตอน ดังนี้
- นำน้ำเข้าสู่ระบบกรอง เริ่มจากปล่อยน้ำให้ไหลผ่านไส้กรองที่มีความละเอียดสูงถึง 5 ไมครอน เพื่อกรองสิ่งสกปรกออกทั้งหมด น้ำที่ได้จึงมีความบริสุทธิ์มากที่สุด
- แยกน้ำเพื่อเข้าสู่กระบวนการต่อไป นำน้ำที่กรองแล้วส่งไปยังเครื่องใช้ปั๊มแรงดันสูงเพื่อแยกน้ำที่กรองและเตรียมเข้าสู่ขั้นตอนถัดไป ช่วยป้องกันไม่ให้น้ำสกปรกที่ยังไม่ได้ผ่านการกรอง เข้ามาปนเปื้อนกับน้ำที่ผ่านการกรองแล้ว
- กรองน้ำผ่านไส้เมมเบรน เมื่อน้ำมาถึงเยื่อเมมเบรนแล้ว ระบบจะคัดแยกน้ำเพื่อจัดการกับน้ำที่ผ่านเครื่องกรอง ทั้งไส้กรองที่มีความละเอียดสูงถึง 5 ไมครอน, ปั๊มแรงดันน้ำ และไส้เมมเบรน ซึ่งเมมเบรนจะกรองน้ำขั้นสุดท้ายและส่งน้ำทั้งหมดไปยังขั้นตอนการแยกประเภท
- คัดแยกน้ำ หลังจากเสร็จสิ้นการทำงานของตัวเครื่องกรองน้ำ RO แล้ว น้ำที่ได้จากการกรองจะถูกส่งมาเพื่อนำไปคัดแยกน้ำออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ น้ำบริสุทธิ์ และน้ำเข้มข้น
- จัดการน้ำเสีย สำหรับน้ำเข้มข้นหรือน้ำเสียที่นำมาใช้งานไม่ได้จำเป็นจะต้องทิ้ง เนื่องจากมีสารปนเปื้อนทั้งแบคทีเรีย, โลหะหนักและ สิ่งสกปรกอื่น จะถูกส่งไปยังชุดควบคุมปริมาณน้ำทิ้ง เพื่อตรวจสอบปริมาณน้ำที่ต้องนำไปทิ้ง จากนั้นจึงนำไปทิ้งผ่านโซลินอยด์วาล์ว (Solenoid Valve) เพื่อไม่ให้มีสิ่งสกปรกตกค้างอยู่ในระบบกรอง
ทำไมต้องเครื่องกรองน้ำ RO จาก Livehealthy
เราเป็นบริษัทจัดจำหน่ายและให้บริการเกี่ยวกับเครื่องกรองน้ำด่างมานานถึง 13 ปี จนเป็นที่ไว้วางใจของเหล่าผู้ใช้มากมาย ทั้งสถานพยาบาล, หน่วยงานราชการและกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ต้องการดูแลสุขภาพตัวเอง ทำให้เรามียอดขายด้านน้ำด่างเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย เนื่องจากความต้องการที่หลากหลายของกลุ่มลูกค้า ทางเราจึงพัฒนาเครื่องกรองน้ำออกมาวางจำหน่ายทั้งหมด 3 หมวด ได้แก่ หมวดพรีเมี่ยม ซีรี่ย์ KYK, หมวดระบบกรองแบบ Nano Alkaline และหมวดระบบกรองแบบ RO Alkaline ตามรูปแบบการใช้งาน
นอกจากคุณภาพเครื่องกรองน้ำที่ดีเยี่ยมแล้ว ทางเราให้ความสำคัญกับการให้บริการแบบ On Site Service เมื่อเครื่องกรองมีปัญหา คุณจึงไม่ต้องยกเครื่องมาที่ศูนย์บริการด้วยตัวเอง เรามีทีมงานพร้อมดูแลคุณถึงบ้าน (ในจังหวัดที่มีศูนย์บริการ) บางยี่ห้อเปลี่ยนโฉมทุก ๆ 5 ปี ทำให้ต้องยกเลิกการผลิตไส้กรองลงไป ภาระจึงตกอยู่กับลูกค้าที่ต้องซื้อเครื่องกรองใหม่ แม้จะเปลี่ยนบอดี้หรือดีไซน์ก็ตาม แต่ทางเรายังคงใช้ขนาดไส้กรองเท่าเดิม จึงหมดปัญหาต้องซื้อเครื่องใหม่ นอกจากนี้ตัวเครื่องของเรายังมีอายุการใช้งานมากกว่า 10 ปีขึ้นไป จึงเหมาะสำหรับผู้ที่รักสุขภาพและต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องน้ำดื่มในระยะยาวอีกด้วย